เครื่องอัดลม
เครื่องอัดลมที่นิยมใช้กันอยู่มี 2 ประเภท
- เครื่องอัดลมแบบลูกสูบ เป็นเครื่องอัดลมที่นิยมใช้งานมากที่สุด เครื่องอัดลมชนิดนี้สามารถสร้างความดันหรือแรงดันลมได้ตั้งแต่ 1 bar ไปจนถึง 1,000 bar มีแบบใช้สายพาน และแบบโรตารี่ ซึ่งแบบสายพานจะให้เสียงเงียบกว่าแบบโรตารี่
- เครื่องอัดลมแบบสกรู เครื่องอัดลมประเภทนี้เป็นที่นิยมใช้กับโรงงานอุตสาหกรรม ตัวเครื่องจะไม่มีลิ้นในการเปิดปิดเหมือนกับปั๊มลมแบบลูกสูบ แต่จะมีเกลียว หรือสกรู 2 อันประกบกันแล้วใช้มอเตอร์ไฟฟ้าหมุนเพื่อให้เกิดแรงอัด อากาศขึ้นมา เครื่องอัดลมแบบสกรูจะมีขนาดใหญ่กว่าแบบ ลูกสูบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังแรงอัด ยิ่งกำลังอัดสูง ตัวเครื่องอัดอากาศก็จะมีขนาดที่ใหญ่ตามด้วย เครื่องอัดลมประเภทนี้จะสามารถจ่ายลม 170 ลูกบาศก์ เมตรต่อนาที (m3/min) และยังสามารถทำความดันได้สูงถึง 13 บาร์
เครื่องอัดลมมี 4 ประเภท
1. เครื่องอัดลูกสูบสายพาน จะใช้มอเตอร์และสายพานเป็นตัวขับเคลื่อน
2. เครื่องอัดลมโรตารี่ ใช้มอเตอร์ขับลูกสูบโดยตรง
3. เครื่องอัดลมออยฟรี (Oil free) เสียงเงียบและไม่ต้องเติมน้ำมันหล่อลื่น
4. เครื่องลมแบบสกรู ใช้เพลาสกรูตัวผู้และตัวเมียหมุนเข้าหากันเพื่อดูดเเละอัดอากาศผ่านเกลียวสกรู
เครื่องอัดลม (Air Compressor) คือ? เครื่องอัดอากาศแล้วไปเพิ่มความดันให้กับอากาศเพื่อเก็บไว้ในถังพัก ทำให้ลมในถังมีแรงดันที่สูงขึ้น แล้วจึงนำไปใช้งานตามความต้องการ เช่น ใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้ในอู่ซ่อมรถ ใช้ในงานพ่นสีชิ้นงานเฟอร์นิเจอร์ เครื่องอัดลม Air Compressor ทำหน้าที่ในการอัดลมให้มีแรงดันสูงตามที่ต้องการ เพื่อนำไปใช้เป็นระบบลมในโรงงานอุตสาหกรรมตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่นร้านซ่อมรถ จะใช้ปั๊มลมลูกสูบ ซึ่งใช้แรงดันไม่สูงมาก เครื่องอัดลมที่ใช้ในโรงงาน จะเป็นเครื่องอัดลมแบบสกรู จะใช้แรงลมที่มากกว่า

การเลือกใช้เครื่องอัดลมแบบต่างๆ
เครื่องอัดลมชนิดลูกสูบ (Piston Air Compressor) คือเครื่องอัดลม ทำงานโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นต้นกำลังในการขับเคลื่อนลูกสูบให้เกิดการเคลื่อนที่ขึ้นลง ทำให้เกิดแรงดูดและอัดอากาศภายในกระบอกสูบ ซึ่งเครื่องอัดลมจะมีวาล์วทางด้านดูดและวาล์วทางออกทำงานสัมพันธ์กัน เมื่อลูกสูบมีการเคลื่อนตัวในแนวดิ่งทำให้เกิดการดูดและอัดภายในกระบอกสูบ โดยที่ช่วงการดูดอากาศ ลิ้นช่องดูดเข้าจะทำการเปิดออกเพื่อดึงอากาศเข้ามาภายในกระบอกสูบ แต่ลิ้นทางด้านอัดอากาศออกจะปิดสนิท จากนั้นเมื่อถึงช่วงการอัดอากาศ ตัวลูกสูบจะดันอากาศให้ออกทางลมออก ทำให้ลิ้นทางลมออกเปิด ส่วนทางลิ้นดูดอากาศก็จะปิดลง เมื่อลูกสูบของปั้มลมขยับขึ้นลงจึงเกิดการดูดและอัดอากาศขึ้น
การสร้างแรงดันของปั๊มจะขึ้นอยู่กับจำนวน (Stage) ในการทำงานของปั๊ม เช่น ปั๊มลมที่มีระบบการทำงานแบบ (Single Stage) จะสามารถสร้างแรงดันได้ 8-10 บาร์ และการทำงานแบบ (Two Stage) ปั๊มลมจะสร้างแรงดันได้ 12-15 บาร์ เป็นต้น แต่โดยปกติแล้วปั๊มลมแบบลูกสูบจะสามารถสร้างแรงดันได้ตั้งแต่ 1 บาร์ ทำให้เป็นจุดเด่นอีกหนึ่งจุดของปั๊มประเภทนี้ที่สามารถสร้างแรงดันได้ตั้งแรงดันต่ำ ปานกลาง ไปจนถึงทำแรงดันสูงได้ ปั๊มลมแบบลูกสูบมีทั้งแบบที่ใช้สายพานและแบบโรตารี่
เครื่องอัดลมแบบใช้สายพาน หัวปั๊มแยกออกจากกันกับมอเตอร์ โดยหลักการทำงานจะใช้สายพานและมอเตอร์ในการขับ มีให้เลือกใช้งานทั้งแบบ Single Stage และ Two Stage ที่สามารถทำแรงดันได้สูงถึง 15 บาร์ เครื่องอัดลมลูกสูบแบบใช้สายพานที่ทำแรงดันแบบ Single Stage จะมีทั้งรุ่นที่ใช้น้ำมันหล่อลื่นและแบบไม่ใช้น้ำมัน มีราคาค่อนข้างสูง แต่ปั๊มมีความแข็งแรงทนทาน สามารถใช้กับงานหนักได้ มีขนาดใหญ่กว่าปั๊มลมแบบโรตารี่
เครื่องอัดลมแบบโรตารี่ เป็นเครื่องอัดลมแบบที่ไม่ใช้น้ำมันหล่อลื่น มีระบบการทำงานแบบ Single Stage ซึ่งสามารถสร้างแรงดันได้ 8 – 10 บาร์ หัวปั๊มจะติดกับตัวมอเตอร์ ส่วนใหญ่แล้วเครื่องอัดลมประเภทนี้จะมีขนาดตัวปั๊มที่ค่อนข้างกะทัดรัด น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก ราคาไม่แพง แต่ก็มีข้อเสียที่มีเสียงค่อนข้างดังขณะทำงาน อายุการใช้งานสั้นกว่าเครื่องอัดลมแบบใช้สายพาน แต่สามารถทำลมได้เร็วกว่า
การเลือกซื้อปั๊มลมต้องคำนึงถึงลักษณะงานที่เราจะใช้ ว่าเราต้องการใช้ปั๊มลมที่มีแรงดันมากน้อยแค่ไหน ต้องการความต่อเนื่องของงานหรือไม่ การจ่ายลมสามารถทำงานต่อเนื่องได้หรือไม่ หรือแม้แต่สถานที่ที่จะใช้ทำงานก็มีส่วนสำคัญ เพราะปั๊มลมแต่ละชนิดมีเสียงดัง-เบา ไม่เท่ากัน ต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะงานและสถานที่ทำงานของผู้ใช้ด้วย